ตอนที่6 สงครามโจรโพกผ้าเหลืองครั้งที่ 1
By : Unknown
ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อจัดกองทัพห้าสิบหมื่นพร้อมแล้วก็ประกาศสงครามกู้ชาติ
เพื่อปลดปล่อยประชาชนให้หลุดพ้นจากการกดขี่ข่มเหงรังแก
และปล้นชิงวิ่งราวของขุนนางและข้าราชการ
ให้เคลื่อนทัพเข้าโจมตีและยึดหัวเมืองทั้งแปด ซึ่งราษฎรนับถืออยู่แต่ก่อนแล้ว
เตียวก๊ก |
จากนั้นจึงเคลื่อนพลเข้าโจมตีหัวเมืองอื่นๆอีกหลายหัวเมือง
ตัวเตียวก๊กเองนั้นคุมพลสิบห้าหมื่นเข้าโจมตีแล้วยึดเมืองจงก๋ง
ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญในการบุกเข้ายึดเมืองหลวงต่อไป
ส่วนเตียวโป้และเตียวเหลียงยกไปตีเมืองเองฉวน
ภายในเมืองได้ตั้งรับอย่างแข็งขัน
เตียวโป้และเตียวเหลียงยึดเมืองไม่ได้ก็ตั้งค่ายรายล้อมเมืองไว้
การเคลื่อนทัพเข้าตีและยึดเมืองต่างๆของขบวนการกู้ชาติที่บัญชาการโดยเตียวก๊กครั้งนี้
เป็นไปโดยรวดเร็ว เนื่องจากหัวเมืองทั้งแปดมีราษฎรนิยมนับถือเตียวก๊กอยู่ก่อนแล้วถึงขนาดเขียนชื่อเตียวก๊กบูชาทุกบ้านเรือน
ทั้งมีความเคียดแค้นชิงชังข้าราชการและขุนนาง
ที่เอาแต่กดขี่ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นราษฎร
ดังนั้นชาวเมืองจึงพากันเข้าร่วมกับฝ่ายกู้ชาติ
ซึ่งสามก๊กทุกฉบับระบุความตรงกันว่า ไม่มีราษฎรหลบหนีออกจากเมืองหรือก่อความวุ่นวายขึ้นแต่ประการใด
ฝ่ายกองทัพจากเมืองหลวงที่บัญชาการโดยแม่ทัพโลติดมีฮองฮูสงและจูฮีเป็นแม่ทัพรองและแม่ทัพหนุน
พอทราบข่าวการสนับสนุนกำลังเพิ่มเติมจึงได้เคลื่อนกองทัพยกไปเป็นสามด้านพร้อมกัน
มุ่งเข้าตีจุดยุทธศาสตร์คือเมืองจงก๋งและเมืองเองฉวนเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบให้ได้เสียก่อน
ตัวโลติดคุมพลห้าหมื่นยกไปล้อมเมืองจงก๋งซึ่งเตียวก๊กได้ยึดไว้
ส่วนฮองฮูสงและจูฮีให้ยกไปเมืองเองฉวน
และให้ตั้งค่ายไว้นอกเมืองยันทัพเตียวโป้และเตียวเหลียงไว้
เทียอ้วนจี้ |
ฝ่ายเทียอ้วนจี้ทหารเอกของฝ่ายกู้ชาติอีกคนหนึ่ง
ได้นำทัพห้าหมื่นคนยกเข้าตีเมืองตุ้นก้วน
เมื่อทัพเทียอ้วนจี้เคลื่อนไปถึงชายแดนเมืองตุ้นก้วน
ความศึกทราบถึงเล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองอิวจิ๋ว
จึงสั่งให้เจาเจ้งนำกำลังพลห้าร้อยนายพร้อมเล่าปี่,กวนอู,เตียวหุยไปปราบโจร
กองทหารของเจาเจ้ง,เล่าปี่,กวนอู,เตียวหุย แม้มีกำลังพลน้อยกว่าทัพของเทียอ้วนจี้หลายเท่านัก
แต่ด้วยฝีมือการรบของกวนอู และ เตียวหุยเหนือชั้นกว่ามาก
ดังนั้นเมื่อเกิดปะทะกันขึ้นเทียอ้วนจี้ จึงถูกกวนอูใช้ง้าวฟันขาดเป็นสองท่อน
ส่วนทหารเอกของเทียอ้วนจี้ชื่อเตงเมา ก็ถูกเตียวหุยใช้ทวนแทงถูกอกตกม้าตาย
เตงเมา |
กองทัพฝ่ายกู้ชาติของเทียอ้วนจี้จึงแตกกระจายไปสิ้น
เล่าปี่เห็นได้ทีจึงขับทหารไล่จับพวกโจรและเก็บอาวุธได้เป็นจำนวนมาก
แล้วยกทหารกลับเมืองตุ้นก้วน
ชัยชนะของเล่าปี่ครั้งนี้เป็นชัยชนะครั้งแรกของกองทัพฝ่ายเมืองหลวง เล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองรู้ข่าวก็มีความยินดีออกไปรับเล่าปี่ถึงประตูเมือง
กลับเข้าเมืองแล้วก็ปูนบำเหน็จทหารตามสมควร
เล่าปี่และทหารได้พักเพียงชั่วคืนเดียว
รุ่งขึ้นเจ้าเมืองเฉงจิ๋วส่งม้าใช้ถือหนังสือมาถึงเจ้าเมืองตุ้นก้วนว่า
โจรโพกผ้าเหลืองยกมาล้อมเมืองจึงขอทหารไปช่วย
เล่าเอี๋ยนจึงส่งเจ้าเจ้งให้คุมทหารห้าพันยกไปเมืองเฉงจิ๋ว
พร้อมกับเล่าปี่,กวนอู,เตียวหุย นับเป็นการออกรบครั้งที่สองของเล่าปี่ในศึกโจรโพกผ้าเหลือง
ศึกครั้งนี้กำลังพลที่เดินทัพไปกับเล่าปี่มีมากกว่าศึกครั้งก่อนถึงสิบเท่าคือมีจำนวนถึงห้าพันนับเป็นการบัญชาการทหารครั้งแรกของเล่าปี่ที่มีกำลังพลมากขนาดนี้
เมื่อทัพของเล่าปี่เคลื่อนไปใกล้เมืองเฉงจิ๋ว
ก็ถูกกองทัพของฝ่ายกู้ชาติเข้าโจมตี เล่าปี่กำลังน้อยกว่าก็ถอยมาตั้งหลัก
เล่าปี่เห็นว่ากำลังรบน้อยกว่ากันมาก
จึงกำหนดกลศึกเพื่อเอาชนะ โดยให้กวนอูคุมทหารพันหนึ่งไปซุ่มอยู่ในเหลื่อมเขาซ้ายทาง
ให้เตียวหุยคุมทหารพันหนึ่งไปซุ่มอยู่ในดงไม้ข้างขวาทาง
กำหนดว่าถ้าได้ยินเสียงม้าล่อเมื่อใดให้กวนอู เตียวหุย ยกทหารตีกระหนาบเข้ามา
กวนอู เตียวหุย ก็ยกทหารไปซุ่มอยู่ตามคำสั่ง
รุ่งขึ้นเล่าปี่กับเจาเจ้งก็ยกทหารผ่านไปทางที่กวนอู
เตียวหุย ซุ่มอยู่นั้น รุดหน้าไปรบกับโจรโพกผ้าเหลือง เมื่อปะทะกันแล้วเล่าปี่
เจาเจ้งก็แกล้งถอยมาทางที่กวนอูเตียวหุยซุ่มอยู่นั้น
ฝ่ายโจรโพกผ้าเหลืองได้ทีก็ไล่ตามตี
มาถึงจุดซุ่มเล่าปี่ก็ให้ทหารตีม้าล่อขึ้นแล้วแปรขบวนทหารจากถอยเป็นหันกลับเข้าตี
ในขณะที่กวนอูเตียวหุยได้ยินสัญญาณแล้วก็ยกทหารตีขนาบเข้ามา
โจรโพกผ้าเหลืองถูกตีขนาบเข้ามาทั้งสามด้านก็ตกใจแตกตื่นเสียทีเพราะไม่รู้กำลังศึก ทัพโจรโพกผ้าเหลืองจึงแตกพ่ายหนีเข้าไปใกล้กำแพงเมืองเฉงจิ๋ว
เจ้าเมืองเฉงจิ๋วเห็นเป็นที่ก็ยกทหารตีกระทบเข้ามาเป็นสี่ด้าน
ทหารโจรโพกผ้าเหลืองจึงระส่ำระสาย ถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
และแตกหนีไปจนหมดสิ้น
เจ้าเมืองเฉงจิ๋วทราบข่าวชัยจึงปูนบำเหน็จแก่เล่าปี่และทหารตามสมควร
แต่หาได้ชักชวนให้เล่าปี่รับราชการหรืออยู่ช่วยเหลือต่อไปไม่
ดูไปแล้วเล่าปี่ช่างอาภัพนักเพราะแม้จะมีฝีมือและผลงานปรากฏแต่กลับไม่มีใครเห็นคุณค่า
เสร็จศึกแล้วเจาเจ้งจึงแจ้งแก่เล่าปี่ว่าจะยกทหารกลับเมืองตุ้นก้วน
เล่าปี่ก็เคว้งเพราะจะกลายเป็นคนตกงานอีกครั้งหนึ่ง
แต่โชคยังดีที่เล่าปี่ได้ข่าวว่าแม่ทัพโลติดเพื่อนร่วมสำนักได้เป็นใหญ่ในราชการ
ดำรงตำแหน่งที่แม่ทัพปราบขบวนการกู้ชาติและล้อมข้าศึกไว้ที่เมืองจงก๋ง
เล่าปี่จึงขอทหารเจาเจ้งเพื่อไปช่วยแม่ทัพโลติด
เจาเจ้งตัดใจให้ทหารเล่าปี่ไปห้าร้อยคนแล้วยกกำลังที่เหลือกลับเมืองตุ้นก้วน
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยคุมทหารห้าร้อยนายตรงไปเมืองจงก๋ง
แล้วชวนกันเข้าพบแม่ทัพโลติดซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายเมืองหลวง รายงานการศึกที่ผ่านมาให้แม่ทัพโลติดรับทราบ
แม่ทัพโลติดได้พบหน้าเล่าปี่เพื่อนร่วมสำนัก
และรับทราบความศึกแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก จึงชวนให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยว่ามา “อยู่ทำราชการด้วยเราเถิด”
เล่าปี่ กวนอู
เตียวหุยรับคำเชิญของแม่ทัพโลติดแล้วเริ่มชีวิตข้าราชการทหารตั้งแต่บัดนั้น
แต่ทั้งนี้ความเป็นข้าราชการดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นทหารหลวงเพราะฮ่องเต้ไม่ได้รับรู้ด้วย
ดังนั้นจึงมีฐานะเป็นเพียงทหารในสังกัดของแม่ทัพโลติดเท่านั้น
แม่ทัพโลติดเห็นว่ากำลังพลที่มีอยู่สามารถยันทัพของเตียวก๊กได้
แต่ให้รู้สึกห่วงใยกองทัพของฮองฮูสงและจูฮี
ซึ่งเป็นน้ำใจที่ดีงามของคนระดับแม่ทัพผู้นี้ที่ไม่คิดแต่จะเอาตัวรอด
หรือคิดสร้างผลงานเฉพาะตน
แม้หน้าศึกที่เผชิญอยู่กับความเป็นตายยังสู้มีใจห่วงหาอาทรผู้ใต้บังคับบัญชาและการใหญ่ของบ้านเมือง
จึงจัดทหารพันหนึ่งให้เล่าปี่รีบยกไปช่วยฮองฮูสงและจูฮีที่ยันทัพเตียวโป้และเตียวเหลียงอยู่ที่เมืองเองฉวนโดยให้เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
ฝ่ายทัพเตียวโป้และเตียวเหลียงซึ่งตั้งยันอยู่กับทัพของฮองฮูสงและจูฮีนั้น
ปะทะกันหลายครั้งยังไม่แพ้ชนะกัน ดังนั้นเตียวโป้และเตียวเหลียงจึงวางแผนเผด็จศึกด้วยวิธีการผูกพยนต์
ใช้วิทยาคมที่เตียวก๊กได้ร่ำเรียนมาจากตำราของเทพยดา
เตรียมปลุกเสกหุ่นฟางให้เป็นทหารเพื่อรบกับฮองฮูสงและจูฮี
แต่ในขณะที่เตียวโป้
เตียวเหลียงเตรียมฟางไว้เป็นจำนวนมากเพื่อผูกเป็นหุ้นนั้น ข่าวทราบถึงฮองฮูสงและจูฮี
ที่ถึงแม้จะไม่รู้ความนัยว่ากองทัพโจรโพกผ้าเหลืองเตรียมฟางไว้จำนวนมากเพื่อการใด
แต่เห็นช่องทางที่จะทำลายกองทัพโจรเสียด้วยเพลิง
ในคืนนั้นเพลาสองยามเกิดลมพายุใหญ่พัดหนัก
ฮองฮูสงและจูฮีจึงให้ทหารเข้าปล้นค่ายเตียวโป้ เตียวเหลียงพร้อมกัน ใช้เพลิงเผาค่ายโจรโพกผ้าเหลืองจนแสงเพลิงโชติช่วงสว่างดุจกลางวัน
ทหารเตียวโป้
เตียวเหลียงไม่ทันรู้ตัวว่าถูกโจมตีก็ตกใจไม่ทันใส่เกราะผูกอานม้าก็แตกกระจายหนีเพลิงกันวุ่นวาย
ทหารของฮองฮูสงและจูฮีจึงได้ไล่ฟันแทงพวกโจรล้มตายเป็นอันมาก
เตียวโป้ เตียวเหลียงนำทหารที่แตกทัพรุดหนีไปทั้งคืน
จนรุ่งเช้าก็ปะทะเข้ากับกองทหารซึ่งใช้ธงแดงเป็นสัญลักษณ์ทั้งกองทัพ
นั่นคือกองทัพของโจโฉซึ่งเป็นกองทัพเสริมมาจากเมืองหลวง
และเคลื่อนมาทางเมืองเองฉวนเพื่อสมทบกับทัพของฮองฮูสงและจูฮี
โจโฉเห็นโจรโพกผ้าเหลืองแตกทัพมาก็สั่งทหารให้เข้าตีสกัดไว้
สังหารทหารเตียวโป้ เตียวเหลียงเสียหมื่นเศษได้ม้าและศาตราวุธเป็นจำนวนมาก
แต่เตียวโป้ เตียวเหลียงนั้นนำทหารที่เหลือหนีไปได้
โจโฉ |
โจโฉนำชัยชนะจากการตีทัพเตียวโป้เตียวเหลียงซึ่งแตกทัพไปจากเมืองเองฉวนเข้ารายงานให้ฮองฮูสงและจูฮีทราบ
แล้วขอนำทหารยกตามไปตีเตียวโป้ เตียวเหลียงต่อไป
ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งรับคำสั่งแม่ทัพโลติดให้ยกทหารมาเมืองเองฉวน ช่วยฮองฮูสงและจูฮีนั้น
เมื่อเคลื่อนทัพมาใกล้ถึงเมืองเองฉวนเห็นแสงเพลิงที่ฮองฮูสงและจูฮีเผาค่ายของเตียวโป้
เตียวเหลียงจึงเร่งทหารรีบไปช่วย พอดีทัพเตียวโป้ เตียวเหลียงแตกพ่ายไปแล้ว
เล่าปี่จึงเข้าไปรายงานต่อฮองฮูสงและจูฮีว่าแม่ทัพโลติดให้ยกทหารมาช่วย
ฮองฮูสงและจูฮีทราบความก็ขอบใจโลติดและเล่าปี่
แล้วว่าเตียวโป้ เตียวเหลียงแตกไปครั้งนี้การศึกเห็นจะเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว
เพราะคาดหมายว่าเมื่อแตกหนีไปแล้วเตียวโป้
เตียวเหลียงจะยกทหารไปสมทบกับเตียวก๊กที่เมืองจงก๋ง
จึงให้เล่าปี่ยกทหารรีบตามไปสกัดไม่ให้เตียวโป้
เตียวเหลียงไปบรรจบทัพกับเตียวก๊กได้สำเร็จ ฝ่ายเมืองหลวงก็จะได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด
การที่เจ้าเมืองและแม่ทัพต่างๆใช้ให้เล่าปี่ไปรบศึกไม่หยุดหย่อน
ให้ไปช่วยคนโน้นให้ไปช่วยคนนี้ดูไปแล้วคล้ายๆจะเป็นการผลักไสอยู่ในที เหตุทั้งนี้ย่อมมีประวัติศาสตร์ของมันอยู่
เพราะเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจในสายของพระเจ้าฮั่นเกงเต้
หลานของพระเจ้าฮั่นเกงเต้ผู้หนึ่งได้รับพระราชทานศักดิ์เป็น “อ๋อง” เทียบชั้นเจ้าพระยาครองเมืองต๊กกุ๋น
แต่ขาดส่งส่วยประจำปีให้แก่ราชสำนัก จึงถูกถอดออกจากศักดิ์และตำแหน่งลงเป็นคนสามัญ
ตราบาปนี้จึงตกทอดมาถึงปู่
พ่อและถึงตัวเล่าปี่ด้วย
ทำให้ขุนนางและข้าราชการไม่กล้าข้องแวะคบหาสมาคมเพราะกลัวว่าจะเป็นที่หวาดระแวงของราชสำนัก
ดังนั้นเจ้าเมืองและแม่ทัพต่าง ๆ
จึงหาเหตุผลักไสไล่ส่งเล่าปี่โดยทำทีใช้ให้ไปราชการไม่หยุดหย่อน
เนื้อเรื่องบางส่วนจาก
สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ตอนที่5 วีรชนสู่สมรภูมิ
By : Unknown
ถ้าแผ่นดินเป็นปกติและการทหารเข้มแข็ง
การส่งกองทัพจากเมืองหลวงไปปราบโจรก็เห็นได้ชัดว่ากองทัพจากเมืองหลวงจะได้รับชัยชนะเป็นแน่แท้
แต่เนื่องจากแผ่นดินของเลนเต้อ่อนแอในทุกด้าน รวมทั้งด้านการทหาร
ดังนั้นแม้จะส่งกองทัพจากเมืองหลวงออกไปปราบโจรถึงสามด้าน ก็ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ
นอกจากไม่ไว้วางใจในกองทัพของตนแล้ว อาจจะเกิดจากความขี้ขลาดตาขาวกลัวแพ้โจรก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องมีท้องตราไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ให้ช่วยกันปราบโจรทางหนึ่ง และยังส่งกองทัพเสริมเพิ่มเติมตามไปอีก
นอกจากไม่ไว้วางใจในกองทัพของตนแล้ว อาจจะเกิดจากความขี้ขลาดตาขาวกลัวแพ้โจรก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องมีท้องตราไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ให้ช่วยกันปราบโจรทางหนึ่ง และยังส่งกองทัพเสริมเพิ่มเติมตามไปอีก
กองทัพที่ส่งเสริมตามไปนี้
พระเจ้าเลนเต้โปรดให้โจโฉเป็นแม่ทัพ
นำกำลังห้าพันยกไปช่วยกองทัพที่ยกไปก่อนหน้าแล้ว โดยให้เดินทัพตรงไปยังเมืองเองฉวน
ซึ่งขณะนั้นถูกกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองที่นำโดยเตียวโป้และเตียวเหลียงล้อมอยู่
โจโฉ |
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาประวัติของโจโฉไว้ว่า “เป็นบุตรโจโก๋ เมื่อน้อยมักพอใจไปเล่นป่ายิงเนื้อ มักพอใจฟังร้องรำทำเพลง มีปัญญาความคิดรวดเร็ว” เป็นคนชอบคบหาเพื่อนฝูงมาตั้งแต่น้อย เพื่อนเล่นทั้งปวงยกย่องโจโฉเป็นหัวหน้า จะทำการสิ่งใดก็ประพฤติตนเป็นหัวหน้าคนมาตั้งแต่ยังเด็ก
โจโฉเป็นคนเจ้าอุบายมาแต่อ้อนแต่ออก และเพราะเหตุที่ซุกซนจึงไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจของอาที่ชื่อ “โจเต๊ก” คอยหาเหตุกลั่นแกล้งอยู่เสมอ โจโฉเห็นอากลั่นแกล้งก็คิดแก้แค้น โดยไม่คำนึงว่า โจเต๊กนั้นเป็นญาติผู้ใหญ่ มีฐานะเป็นอาของตน คิดแต่จะเอาชนะอาให้จงได้
วันหนึ่งโจโฉจึงแกล้งล้มลงร้องไห้ทุรนทุราย
โจเต๊กนำความไปบอกโจโก๋ผู้พี่ว่าโจโฉมีอันเป็นไปแล้ว
โจโก๋ตกใจวิ่งมาดูปรากฏว่าโจโฉยังคงเล่นหัวกับเพื่อนเป็นปกติ จึงถามความเอากับโจโฉ
ดังนั้นจึงเป็นทีของโจโฉได้แก้แค้นอาโดยบอกกับโจโก๋ผู้เป็นพ่อว่าอาชังข้ามาแต่น้อย
คิดแต่จะสาปแช่งให้มีอันเป็น ข้ายังเล่นหัวกับเพื่อนเป็นปกติ
ไม่เคยเกิดเรื่องราวใด ๆ อากลั่นแกล้งเอาความมาใส่
หลังจากวันนั้นแล้วโจโก๋ก็เชื่อคำโจโฉ แม้อาจะนำความใดมากล่าว โจโก๋ก็ไม่ได้เชื่อฟังอีกต่อไป
โจโฉก็ยิ่งฮึกเหิมในสติปัญญาของตน
เพื่อน ๆ ก็สรรเสริญความคิดของโจโฉเป็นอันมาก ยกยอว่าแผ่นดินเป็นจลาจล ไม่มีผู้ใดมีสติปัญญาจะแก้ไขให้เป็นปกติได้ เห็นแต่โจโฉเท่านั้นที่มีสติปัญญาปราบปรามให้การแผ่นดินเป็นสุข โจโฉได้ฟังแล้วก็มีความลำพองในความคิดและสติปัญญาตนมากขึ้น
เพื่อน ๆ ก็สรรเสริญความคิดของโจโฉเป็นอันมาก ยกยอว่าแผ่นดินเป็นจลาจล ไม่มีผู้ใดมีสติปัญญาจะแก้ไขให้เป็นปกติได้ เห็นแต่โจโฉเท่านั้นที่มีสติปัญญาปราบปรามให้การแผ่นดินเป็นสุข โจโฉได้ฟังแล้วก็มีความลำพองในความคิดและสติปัญญาตนมากขึ้น
ในเมือง “ลำหยง” ซึ่งเป็นบ้านเดิมของโจโฉ มีหมอดูมีชื่อเสียงอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อ “โหเง้า” นิยมชมชอบโจโฉมาตั้งแต่เด็ก
ดูบุคลิกลักษณะโจโฉแล้วเชื่อว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน หมอดูคนนี้เป็นคนพูดมาก
ดังนั้นไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลใดก็ชอบพูดว่า “แผ่นดินเมืองหลวงนั้นจะสูญเสียแล้ว
ซึ่งจะปราบแผ่นดินให้ราบนั้นเห็นแต่โจโฉผู้เดียว”
การที่หมอดูไปเที่ยวพูดทั่วไปว่าโจโฉจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เท่ากับว่าโจโฉมีฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น คอยสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนเองว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทำให้มีผู้คนมาเป็นสมัครพรรคพวกมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องจ้างขานวานซื้อเหมือนที่ทำกันอยู่ในบ้านเมืองขณะนี้
การที่หมอดูไปเที่ยวพูดทั่วไปว่าโจโฉจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เท่ากับว่าโจโฉมีฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น คอยสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนเองว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทำให้มีผู้คนมาเป็นสมัครพรรคพวกมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องจ้างขานวานซื้อเหมือนที่ทำกันอยู่ในบ้านเมืองขณะนี้
เขาเฉียว |
คำทำนายแบบนี้หากเกิดขึ้นกับคนทั่วไป หมอดูคงจะถูกเตะเป็นแน่นอน เพราะการเป็นศัตรูราชสมบัติเป็นความผิดฐานกบฎ ต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร เป็นข้อหาอันเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของสังคมโดยทั่วไป ยากที่จะมีผู้ใดยอมรับได้ แต่โจโฉฟังคำทำนายแล้วกลับหัวเราะชอบใจ
ความตอนนี้เห็นจะข้ามไปไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจสมัครเข้ารับราชการทหารและรับราชการในเมืองหลวงนั้นไม่ใช่ความคิดของคนบ้านนอกธรรมดาเท่านั้น
โจโฉแม้อายุยังน้อยก็เข้าใจถึงศูนย์กลางแห่งอำนาจว่าอยู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงดั้นด้นจากเมือง “ลำหยง” มาสมัครเป็นทหารในเมืองหลวง เข้าทำนองเป็นนายสิบอยู่เมืองหลวงดีกว่าเป็นนายร้อยอยู่บ้านนอก ซึ่งตรงกับแนวความคิดทางการค้าของเถาจูกง ปรมาจารย์ทางการค้าของจีนที่ว่า “จะทำการค้าใหญ่ ต้องอยู่เมืองใหญ่”
การสมัครรับราชการทหารในเมืองหลวงของโจโฉ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคำทำนายของหมอดูทั้งสองคน และคำยกย่องของเพื่อนฝูงในวัยเด็กมีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดอ่านของโจโฉ และทำให้โจโฉเชื่อว่าอนาคตของตนจะเป็นเช่นนั้น จึงดำเนินวิถีชีวิตของตนให้สอดคล้องกับคำพยากรณ์และคำยกย่องดังกล่าว
โจโฉเป็นคนเด็ดขาดมาตั้งแต่เยาว์วัย จะพูดจะจาก็ฉะฉานชัดเจนเด็ดขาด ใครจะพูดจะจาด้วยก็เป็นที่พอใจ และเกิดความเชื่อถือวางใจ เหตุนี้โจโฉจึงเป็นที่รัก ที่เกรงใจของคนอื่น เมื่อมาเป็นทหารลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยของวังหลวงก็เคร่งครัดต่อระเบียบวินัย ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ โจโฉได้ปักรั้วกำหนดเขตห้ามมิให้คนเดินล้ำเข้าไปใกล้กำแพงพระราชวัง ต่อมาคืนวันหนึ่งขันทีเดินมาผิดเวลา และล่วงล้ำเข้าไปในเขตห้ามล่วงล้ำที่โจโฉกำหนดไว้ โจโฉก็จับเอามาลงโทษให้ทหารโบย ความทราบถึงพระเจ้าเลนเต้ก็พอพระราชหฤทัย เลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน
ครั้นโจรโพกผ้าเหลืองกรีฑาทัพเข้าประชิดหัวเมืองต่าง
ๆ และมีพระบรมราชโองการจัดทัพจากเมืองหลวงออกเป็นสามด้าน ยกเข้าตีกองทัพโจรแล้ว
ก็ยังไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย พระเจ้าเลนเต้กริ่งว่าจะเสียที
จึงโปรดให้โจโฉเป็นนายทัพ คุมทหารห้าพันยกไปช่วยแม่ทัพรองคือ “ฮองฮูสง”และ “จูฮี” ที่เมือง “เองฉวน” ซึ่งขณะนั้นกองทัพของขบวนการกู้ชาติ ส่วนที่นำโดยแม่ทัพรองคือ “เตียวโป้” และ “เตียวเหลียง” กำลังล้อมเมือง “เองฉวน” อยู่ และสถานการณ์ของกองทัพเมืองหลวงก็อยู่ในสถานะตั้งรับหรือตั้งยันเท่านั้น
ฝ่ายเมือง “ตองฮ่อ” ซึ่งเป็นเมืองในขอบขัณฑสีมาของราชวงศ์ฮั่น อยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ใกล้กับแม่น้ำแยงซี ครั้นได้รับหมายตราจากเมืองหลวงให้ยกกำลังไปปราบโจรแล้ว ได้มอบหมายให้เจ้าเมืองเจียนต๋อง ซึ่งขึ้นกับเมืองตองฮ่อจัดกำลังทหารไปทำการตามหมายรับสั่ง
เจ้าเมืองเจียนต๋องจึงสั่งให้ “ซุนเกี๋ยน” จัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครไปร่วมสมทบกับกองทัพจากเมืองหลวงปราบโจรโพกผ้าเหลือง
ซุนเกี๋ยน |
อัน “ซุนเกี๋ยน” นั้น “กิริยาเหมือนเสือ
หน้าผากใหญ่ หน้ายาว” เป็นคนแข็งแรงกล้าหาญ
เมื่ออายุ 17 ปีไปเมืองเจียนต๋องกับบิดาพบโจรปล้นราษฎรเอาของมาแบ่งปันกัน “ซุนเกี๋ยน” ใช้ความกล้าหาญบุกเข้าไปไล่โจรโดยลำพัง
ฆ่าโจรได้คนหนึ่ง อีก 9 คนหนีไปได้
กิตติศัพท์รู้ถึงเจ้าเมืองจึงให้เอาตัวเข้าไปรับราชการเป็นทหาร
ต่อมาเกิดกบฎขึ้นในเมืองเจียนต๋อง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากความจลาจลในแผ่นดิน “หือฉง” ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า “ซุนเกี๋ยน” ได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองให้เข้าร่วม และไปรบกับฝ่ายกบฎ ปราบกบฎได้สำเร็จ ผู้รักษาเมืองจึงมีหนังสือกราบบังคมทูลฯ รายงานความชอบของ “ซุนเกี๋ยน” ต่อพระเจ้าเลนเต้ แต่เรื่องเงียบหายไป ซึ่งอาจเกิดจากขันทีกักเก็บเรื่องไว้ เพราะช่วงนั้นมีความเป็นไปได้ว่า “ซุนเกี๋ยน” ยังไม่เข้าใจในระบบส่วยสินบนของสิบขันทีจึงไม่ได้ไปติดต่อขอเป็นพวก หรือมิฉะนั้นคุณธรรมในใจตนยังเข้มแข็ง จึงไม่ยอมตนเข้าสู่ระบบส่วยสินบนของขันทีก็เป็นได้
เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้าเมืองเจียนต๋องแล้ว “ซุนเกี๋ยน” จึงจัดระดมพลอาสาสมัครจากชาวเมืองเจียนต๋อง และจากทหารของ “เมืองอ้วนเซีย” ที่แตกทัพ ได้คนประมาณ 1,500 จึงยกไปปราบโจร
ต่อมาเกิดกบฎขึ้นในเมืองเจียนต๋อง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากความจลาจลในแผ่นดิน “หือฉง” ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า “ซุนเกี๋ยน” ได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองให้เข้าร่วม และไปรบกับฝ่ายกบฎ ปราบกบฎได้สำเร็จ ผู้รักษาเมืองจึงมีหนังสือกราบบังคมทูลฯ รายงานความชอบของ “ซุนเกี๋ยน” ต่อพระเจ้าเลนเต้ แต่เรื่องเงียบหายไป ซึ่งอาจเกิดจากขันทีกักเก็บเรื่องไว้ เพราะช่วงนั้นมีความเป็นไปได้ว่า “ซุนเกี๋ยน” ยังไม่เข้าใจในระบบส่วยสินบนของสิบขันทีจึงไม่ได้ไปติดต่อขอเป็นพวก หรือมิฉะนั้นคุณธรรมในใจตนยังเข้มแข็ง จึงไม่ยอมตนเข้าสู่ระบบส่วยสินบนของขันทีก็เป็นได้
เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้าเมืองเจียนต๋องแล้ว “ซุนเกี๋ยน” จึงจัดระดมพลอาสาสมัครจากชาวเมืองเจียนต๋อง และจากทหารของ “เมืองอ้วนเซีย” ที่แตกทัพ ได้คนประมาณ 1,500 จึงยกไปปราบโจร
เนื้อเรื่องบางส่วนจาก
สามก๊กฉบับคนขายชาติ