Popular Post

Posted by : Unknown พฤษภาคม 29, 2556


สามก๊กทุกฉบับที่มีมาในโลกล้วนเรียกกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองว่าเป็น โจร ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการช่วยกันเหยียบย่ำซ้ำเติมและทำให้ความจริงผันแปรไปจากที่พึงเป็น 

            ความจริงโจรโพกผ้าเหลืองเป็นขบวนการกู้ชาติขบวนหนึ่งในยุคที่บ้านเมืองเป็นจลาจล ไม่ต่างกับขบวนการกู้ชาติของชาวนาในกรณีกบฏเขาเหลียงซาน หรือกบฏนักมวย แต่เมื่อขบวนการกู้ชาตินี้พ่ายแพ้ ก็ต้องถูกขนานนามว่าเป็นกบฏ และเป็นธรรมเนียมการเมืองจีนโบราณที่ต้องเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้พ่ายแพ้ให้แบนติดดิน ดังนั้นขบวนการกู้ชาติขบวนนี้จึงถูกเหยียดหยามว่าเป็นเพียงกลุ่มโจรเท่านั้น 

เรื่องของโจรโพกผ้าเหลืองเริ่มต้นขึ้นที่"เมืองกิลกกุ๋น" ซึ่งเป็นดินแดนทางทิศใต้ของเมืองหลวง ในยุคพระเจ้าเลนเต้
ตำแหน่งเมืองกิลกกุ๋นในปัจจุบัน อยู่ในมณฑลเหอเป่ย


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
ปัจจุบันคืออำเภอผิงเซียง มณฑลเหอเป่ย แผนที่จาก google map

มีชายคนหนึ่งชื่อ เตียวก๊ก เป็นหมอยาแผนโบราณ ตั้งตนอยู่ในศีลธรรม มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือราษฎร จึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในถิ่นนั้นเป็นอันดี 
เตียวก๊ก
อยู่มาวันหนึ่งเตียวก๊กไปหาตัวยาบนภูเขา พบคนแก่คนหนึ่งผิวหน้านั้นเหมือนทารก จักษุนั้นเหลือง มือถือไม้เท้า คนนั้นพาเตียวก๊กเข้าไปในถ้ำ จึงให้หนังสือตำรา 3 ฉบับชื่อไทแผงเยาสุด แล้วว่าตำรานี้ท่านเอาไปช่วยทำนุบำรุงคนทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าตัวคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดิน ภัยอันตรายจักถึงตัว เตียวก๊กกราบไหว้แล้วจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด คนแก่นั้นจึงบอกว่าเราเป็นเทพยดา บอกแล้วก็เป็นลมหายไป 
            
ไทแผงเยาสุด 
เตียวก๊กกลับมาบ้านก็ลงมือศึกษาเล่าเรียนตำราทั้ง 3 เล่ม ปรากฏว่าเป็นตำราเรียกลม เรียกฝนเล่มหนึ่ง, เป็นตำราผูกพยนต์ หรือตำราปลุกเสกสิ่งของให้เป็นคน หรือเป็นสัตว์เล่มหนึ่ง และตำรารักษาโรคอีกเล่มหนึ่ง  

            เตียวก๊กศึกษาตำราทั้งสามเล่มแล้วก็ได้ใช้วิชารักษาโรครักษาชาวบ้าน ซึ่งทั้งหมดเป็นคนยากไร้ ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ไม่สามารถไปหาหมอหลวงหรือแพทย์ตามร้านหมอต่าง ๆ ได้ ชาวบ้านจึงพากันมาให้เตียวก๊กรักษาไข้เจ็บโรคภัยต่าง ๆ จนเป็นที่นับถือศรัทธาของชาวบ้านทั้งเมืองกิลกกุ๋น

ต่อมาห่าลงกินเมืองกิลกกุ๋น ชาวเมืองเกิดความไข้ล้มตายลงเป็นอันมาก ชาวเมืองกิลกกุ๋นจึงพากันไปหาเตียวก๊กให้ช่วยรักษาความไข้จากโรคห่า เตียวก๊กได้เขียนยันต์ตามตำราของเทพยดาแจกให้ชาวเมืองบำบัดความไข้ ความไข้นั้นก็หาย โรคห่าก็หมดสิ้นไป 

            ชาวเมืองจึงพากันมาฝากตัวเป็นศิษย์เตียวก๊กมากขึ้น ประกอบกับช่วงนั้นพวกขุนนาง ข้าราชการรีดนาทาเร้นราษฎรเพื่อเก็บส่วยส่งให้กับขันที และเพื่อความร่ำรวยของตนเอง จนบ้านเมืองอดอยากยากแค้น ทั้งข้าราชการ และพวกมาเฟียต่าง ๆ ได้ประพฤติตนเป็นโจรปล้นชิงวิ่งราวชาวบ้าน แพร่ขยายไปทุกตำบล ดังนั้นราษฎรจึงยิ่งหันเข้ามาพึ่งพาเตียวก๊กมากขึ้น 
ขบวนการอาสาป้องกันตนเองมากขึ้นทุกวัน จนขบวนการอาสาป้องกันตนเองเติบใหญ่ และขยายตัวไปยังเมืองต่าง ๆ อีก 7 เมือง รวมเป็น 8 เมือง คือเมือง กิลกกุ๋น, เฉงจิ๋ว, อิวจิ๋ว, ชิวจิ๋ว,   เกงจิ๋ว, ยังจิ๋ว, กุนจิ๋ว และ อิจิ๋ว ชาวเมืองทั้ง 8เมืองนี้นับถือศรัทธาเตียวก๊ก เขียนเอาชื่อเตียวก๊กไว้บูชาทุกบ้านเรือน

เมื่อขบวนการอาสาป้องกันตนเองเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้นเช่นนี้ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องจัดระบบการบริหารเพื่อควบคุมกองกำลังอาสาป้องกันตนเอง ดังนั้นเตียวก๊กจึงแต่งตั้งให้ศิษย์ที่ไว้ใจเป็นหัวหน้าขบวนการสาขาเรียกว่า นายบ้าน ถึง 30 ตำบล ตำบลใหญ่มีกำลังติดอาวุธประมาณหมื่นเศษ ตำบลเล็กมีกำลังติดอาวุธ 6-7 พันคน จัดตั้งกำลังแบบกองทหาร มีธงสำหรับรบศึกทุกตำบล 

            เมื่อมีผู้คนมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และจัดตั้งขบวนเป็นกองทัพฉะนี้แล้ว บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของเตียวก๊กก็ยุยงส่งเสริมให้เตียวก๊กกอบกู้ฟื้นฟูชาติบ้านเมือง ให้ราษฎรได้ร่มเย็นเป็นสุข 

             เตียวก๊กฟังแล้วยังไม่ตัดสินใจประการใด แต่ปรากฏการณ์ที่ได้พบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือ การกดขี่ข่มเหงราษฎรของฝ่ายขุนนางและข้าราชการ และการเบียดเบียนปล้นชิงวิ่งราวที่ขยายตัวลุกลามไปอย่างกว้างขวางนั้น ทำให้ความคิดเตียวก๊กโน้มไปในทางที่เห็นว่า ข้อเสนอของลูกศิษย์เป็นข้อเสนอที่เข้าท่า 

เตียวก๊กเมื่อถูกลูกศิษย์ยุยงหนักเข้าก็ตกลงใจเห็นด้วย จึงตั้งตนเองเป็นพระยา เปลี่ยนขบวนการอาสาป้องกันตนเองเป็นขบวนการกู้ชาติ แล้วสร้างข่าวลือทั้ง 8 เมืองว่า แผ่นดินจะผันแปรปรวนไปแล้ว จะมีผู้มีบุญมาครองแผ่นดินใหม่ บ้านเมืองจะเป็นสุข แล้วให้เอาปูนขาวเขียนเป็นอักษรไว้ที่บ้านเรือน 2 คำว่า ปีชวดบ้านเมืองจะเป็นสุข 

            นี่เป็นธรรมดาของอำนาจวาสนาที่เข้าครอบงำบุคคลใดแล้ว ก็จะทำให้บุคคลนั้นเป็นคนขี้ลืม คือลืมความหลัง ลืมเรื่องเก่า ลืมมิตรเก่า เตียวก๊กที่ถูกลูกยุและอำนาจวาสนาครอบงำแล้วเช่นนี้ จึงลืมคำของเทพยดาที่เคยเตือนไว้ตอนมอบตำรา 3 เล่มว่า ถ้าตัวคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดิน ภัยอันตรายจะถึงตัว 

เมื่อเตรียมการดั่งนี้แล้วก็จำเป็นอยู่เองที่ต้องประสานงานในเมืองหลวงเพื่อทำการใหญ่สืบไป ดังนั้นเตียวก๊กจึงมอบหมายให้ลูกน้องชื่อ ม้าอ้วนยี่ ไปติดสินบนฮองสี ขันที ซึ่งเป็นคนหนึ่งในสิบขันที ให้ทำการเป็นไส้ศึกในเมืองหลวง
ม้าอ้วนยี่
เตียวก๊กนั้นมีน้องชายอยู่สองคนชื่อเตียวโป้และเตียวเหลียง ได้รับมอบหมายให้เป็นรองหัวหน้าขบวนการ ดังนั้นเมื่อจะทำการกอบกู้ฟื้นฟูชาติ เตียวก๊กจึงสอนน้องว่า บัดนี้เราจะทำการใหญ่เพื่อการกอบกู้ฟื้นฟูชาติ ถ้าจะคิดอ่านการสิ่งใดจงเอาใจไพร่เป็นประมาณ
                                                                                                                เตียวโป้                                                         เตียวเหลียง

เตียวก๊กได้บอกน้องทั้งสองคนว่าบัดนี้การพร้อมแล้ว ควรจะคิดเอาแผ่นดิน มิฉะนั้นแล้วก็จะเสียการไป น้องทั้งสองคนก็เห็นด้วย จากนั้นจึงเตรียมกำลังรบพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้พร้อมเพื่อเตรียมเคลื่อนทัพเข้ายึดเมืองหลวง           

หลังจากเตรียมการพร้อมแล้ว เตียวก๊กจึงใช้ให้ลูกศิษย์ชื่อ ตองจิ๋ว ถือหนังสือลับไปบอกฮองสีขันที เพื่อเตรียมการด้านราชสำนักให้เกิดจลาจลวุ่นวายขึ้น สอดคล้องกับการศึกจากภายนอก แต่ตองจิ๋วเปลี่ยนใจกลับนำหนังสือลับนั้นไปให้ขุนนางกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ความศึกจึงแตก เพราะศิษย์ขายอาจารย์ผู้นี้ 
พระเจ้าเลนเต้ทราบความแล้วจึงให้ โฮจิ๋น ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นพี่เมียและไต่เต้าเข้าสู่ตำแหน่งด้วยอาศัยความร่วมมือและประนีประนอมกับสิบขันที นำทหารไปจับม้าอ้วนยี่ ซึ่งเป็นคนเดินสารติดสินบนฮองสีขันทีมาประหาร 
โฮจิ๋น
            ในขณะเดียวกันก็มีรับสั่งให้จับฮองสีขันที มาพิจารณาโทษพร้อมกันด้วย แต่เนื่องจากการทั้งนี้สิบขันทีย่อมรู้เห็นเป็นใจอยู่ด้วย ดังนั้นจึงคิดอ่านช่วยเหลือพรรคพวกให้ผ่อนหนักเป็นเบา 

เมื่อกำจัดไส้ศึกแล้ว พระเจ้าเลนเต้จึงโปรดให้มีตราไปทุกหัวเมืองว่า ถ้าผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญ ให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลืองแล้วจะปูนบำเหน็จให้เป็นขุนนาง และมีพระบรมราชโองการตั้งให้ โลติด เป็นแม่ทัพ ให้ โลจิ๋น เป็นที่ปรึกษา ให้ ฮองฮูสง เป็นทัพรอง และให้ จูฮี เป็นทัพหนุน แยกขบวนทัพออกเข้าตีขบวนการกู้ชาติเป็นสามด้าน 

  โลติด                      ฮองฮูสง                       จูฮี   
ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อทราบข่าวว่าความลับแตก และเมืองหลวงแต่งทัพยกมาเป็นสามด้าน ก็ประกาศตัวกู้ชาติโดยเปิดเผย ตั้งตัวเองเป็นเจ้าพระยาสวรรค์ ตั้งเตียวโป้ผู้น้องเป็น เจ้าพระยาแผ่นดิน และตั้งเตียวเหลียงผู้น้องสุดท้องเป็น เจ้าพระยามนุษย์ ให้รื้อเกล้ามวยซึ่งเป็นธรรมเนียมการเกล้ามวยในยุคนั้น แล้วสยายผม เอาผ้าเหลืองโพกศีรษะเป็นสำคัญ 

            เตียวก๊กได้ชุมนุมพลประกาศกู้ชาติ และให้กำลังใจปลุกระดมกำลังพลว่า บัดนี้แผ่นดินจะสาบสูญฉิบหายแล้ว ผู้มีบุญจะมาเสวยสมบัติใหม่ คนทั้งปวงจงทำตามคำเทพยดาทำนายเถิด จะได้อยู่เย็นเป็นสุขพร้อมมูลกัน 

เมื่อประกาศตัวขบวนการกอบกู้ชาติอย่างเป็นทางการแล้ว  เตียวก๊กก็สั่งให้จัดกองทัพกำลังพลห้าสิบหมื่น อาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมสรรพ ตั้งตัวเองเป็นแม่ทัพใหญ่ เตียวโป้และเตียวเหลียงผู้น้องเป็นแม่ทัพรองและแม่ทัพหนุนโดยลำดับ แล้วสั่งให้เคลื่อนทัพเข้ายึดหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อเตรียมยึดเมืองหลวงต่อไป 


กำลังพลห้าสิบหมื่นของกองทัพเตียวก๊กครั้งนี้ แม้ยังมิใช่กำลังรบทั้งหมดที่มีอยู่แต่ก็ต้องนับว่าเป็นกองทัพขนาดใหญ่ คือมีขนาดใหญ่กว่ากำลังพลของกองทัพไทยในปัจจุบันนี้ถึงสองเท่า จะเรียกกองทัพเช่นนี้ว่า โจร ได้อย่างไร ดังนั้นการเรียกกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองจึงออกจะไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะเป็นเรื่องการเหยียบย่ำทางการเมืองดังที่กล่าวข้างต้นนั้น

            ศึกใหญ่ระหว่างกองทัพจากเมืองหลวงที่บัญชาการโดย โลติด แม่ทัพใหญ่ กับกองทัพของขบวนการกอบกู้ชาติ ที่บัญชาการโดย เตียวก๊ก แม่ทัพใหญ่ และมีกำลังพลถึงห้าแสนคนจึงระเบิดขึ้น กลายเป็นสงครามโจรโพกผ้าเหลืองนับแต่บัดนั้น......


เนื้อเรื่องบางส่วนจาก
สามก๊กฉบับคนขายชาติ

Leave a Reply

Subscribe to Posts | Subscribe to Comments

- Copyright © Paradise Cruise - Date A Live - Powered by Blogger - Designed by Johanes Djogan -