- Back to Home »
- ตอนที่2 ยุคขันทีกินเมือง
Posted by : Unknown
พฤษภาคม 29, 2556
นิมิตและลางจากสวรรค์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ได้ก่อให้เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงในหมู่อาณาประชาราษฎร
พระเจ้าเลนเต้เองก็ทรงสังเกตเห็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ
จึงทรงตรัสถามขึ้นในที่ประชุมเหล่าขุนนางว่า “นิมิตวิปริตดั่งนี้จะดีร้ายประการใด”
ปรากฏว่าไม่มีใครยอมตอบว่า “นิมิตวิปริต” นั้น ว่าจะดีร้ายและหมายความว่าประการใด เหล่าขุนนางต่างนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก และอาการนิ่งเงียบเป็นเป่าสากของเหล่าขุนนางนี้ควรจะต้องถือว่าเป็น “นิมิตวิปริต” ที่เกิดขึ้นในราชสำนัก เช่นเดียวกับ “นิมิตวิปริต” ที่เกิดขึ้นแต่ธรรมชาติ เพราะเหล่าขุนนางทั้งปวงนั้นย่อมมีวิสัยที่ชอบเพ็ดทูล และมักจะแข่งแย่งกันเพ็ดทูลเพื่อหาความดีความชอบ และเพื่อแสดงภูมิรู้แห่งตนให้เป็นที่ประจักษ์
หลังพระเจ้าเลนเต้เสด็จขึ้นแล้ว ก็มีขุนนางชื่อ “ยีหลง” ทำหนังสือลับกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า “เหตุทั้งปวงนี้เพราะขันทีประพฤติล่วงพระราชอาญา จึงเกิด นิมิตให้พระองค์ปรากฎ” การที่ยีหลงต้องทำเป็นหนังสือลับ ประกอบกับอาการเงียบเป็นเป่าสากของเหล่าขุนนางนั้น เป็นอาการที่บ่งบอกว่าคนรอบข้างของพระเจ้าเลนเต้ ซึ่งก็คือขันทีประพฤติล่วงพระราชอาญา “คิดกันกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ” และควบคุมราชสำนักไว้ได้โดยสิ้นเชิง และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในเหล่าขุนนาง
อันขันทีนั้น คือคนใช้ของพระเจ้าแผ่นดิน หากยามใดที่พระเจ้าแผ่นดินเข้มแข็ง ขันทีก็มีฐานะเป็นคนรับใช้ แต่ยามใดที่พระเจ้าแผ่นดินอ่อนแอเหลวไหล ขันทีก็จะมีฐานะเป็นคนใช้พระเจ้าแผ่นดิน คือใช้ให้พระเจ้าแผ่นดินทำอะไรได้ตามใจชอบ
ปรากฏว่าไม่มีใครยอมตอบว่า “นิมิตวิปริต” นั้น ว่าจะดีร้ายและหมายความว่าประการใด เหล่าขุนนางต่างนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก และอาการนิ่งเงียบเป็นเป่าสากของเหล่าขุนนางนี้ควรจะต้องถือว่าเป็น “นิมิตวิปริต” ที่เกิดขึ้นในราชสำนัก เช่นเดียวกับ “นิมิตวิปริต” ที่เกิดขึ้นแต่ธรรมชาติ เพราะเหล่าขุนนางทั้งปวงนั้นย่อมมีวิสัยที่ชอบเพ็ดทูล และมักจะแข่งแย่งกันเพ็ดทูลเพื่อหาความดีความชอบ และเพื่อแสดงภูมิรู้แห่งตนให้เป็นที่ประจักษ์
หลังพระเจ้าเลนเต้เสด็จขึ้นแล้ว ก็มีขุนนางชื่อ “ยีหลง” ทำหนังสือลับกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า “เหตุทั้งปวงนี้เพราะขันทีประพฤติล่วงพระราชอาญา จึงเกิด นิมิตให้พระองค์ปรากฎ” การที่ยีหลงต้องทำเป็นหนังสือลับ ประกอบกับอาการเงียบเป็นเป่าสากของเหล่าขุนนางนั้น เป็นอาการที่บ่งบอกว่าคนรอบข้างของพระเจ้าเลนเต้ ซึ่งก็คือขันทีประพฤติล่วงพระราชอาญา “คิดกันกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ” และควบคุมราชสำนักไว้ได้โดยสิ้นเชิง และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในเหล่าขุนนาง
อันขันทีนั้น คือคนใช้ของพระเจ้าแผ่นดิน หากยามใดที่พระเจ้าแผ่นดินเข้มแข็ง ขันทีก็มีฐานะเป็นคนรับใช้ แต่ยามใดที่พระเจ้าแผ่นดินอ่อนแอเหลวไหล ขันทีก็จะมีฐานะเป็นคนใช้พระเจ้าแผ่นดิน คือใช้ให้พระเจ้าแผ่นดินทำอะไรได้ตามใจชอบ
เตียวเหยียง |
เทาเจียด |
ขุนนางคนใดแสดงอาการให้เห็นว่าไม่เป็นพวก ไม่เคารพ
หรือไม่ยำเกรง ก็จะถูกสิบขันทีแกล้งเพ็จทูลให้พระเจ้าเลนเต้ถอดออกจากตำแหน่ง
หรือโยกย้ายไปทำราชการในถิ่นทุรกันดาร หรืออาจถูกเพ็ดทูลให้ลงโทษประหาร
หนังสือราชการที่หัวเมืองต่าง ๆ รายงานเข้ามายังราชสำนักจะถูกกลั่นกรองโดยขันทีเสียชั้นหนึ่งก่อน หนังสือออกจากราชสำนักรวมถึงพระบรมราชโองการต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นจากความคิดความเห็นของขันที จัดทำโดยเหล่าขันที และจัดส่งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ โดยคนของขันที เป็นหนทางให้ลูกน้องของขันทีได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาอีกทางหนึ่ง
หนังสือราชการที่หัวเมืองต่าง ๆ รายงานเข้ามายังราชสำนักจะถูกกลั่นกรองโดยขันทีเสียชั้นหนึ่งก่อน หนังสือออกจากราชสำนักรวมถึงพระบรมราชโองการต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นจากความคิดความเห็นของขันที จัดทำโดยเหล่าขันที และจัดส่งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ โดยคนของขันที เป็นหนทางให้ลูกน้องของขันทีได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาอีกทางหนึ่ง
การแต่งตั้งเจ้าเมืองไปครองเมืองต่าง ๆ ขันทีก็จะเรียกเอาสินบนทุกเมืองไป
คนใดไม่ยอมให้สินบนแก่ขันทีก็จะถูกกลั่นแกล้ง
ในชั้นต้นอาจจะแกล้งไม่ให้ได้รับแต่งตั้ง หากขัดขวางในชั้นนี้ไม่ได้
ในภายหลังก็จะกลั่นแกล้งเพ็จทูลเอาเป็นโทษ ซึ่งอาจจะเป็นโทษปลดออกจากราชการ หรือโทษถึงลงพระราชอาญา
หากข้อหาหนักก็ต้องถูกประหาร
เจ้าเมืองคนใดยอมอยู่ในอำนาจ ขันทีก็จะจัดส่งคนไปเรียกเก็บส่วยทุกปี และจำนวนส่วยก็จะเพิ่มขึ้นทุกปีดุจกัน เจ้าเมืองบางคนในระยะแรกสามารถทนกับระบบส่วยได้ แต่นานไปทนแรงส่วยไม่ไหวก็ต้องลาออกเพราะขืนทนรับราชการต่อไปก็ต้องถูกปลด ถูกถอดหรือต้องโทษ
ค่าภาษีต่าง ๆ ที่หัวเมืองจัดเก็บส่งเข้าเมืองหลวงตามปกติก็ถูกขันทีชักส่วนแบ่งตั้งแต่ร้อยละ 10 หนักเข้าก็ชักส่วนแบ่งถึงร้อยละ 50 ทำให้รายได้ของแผ่นดินไม่พอเพียงกับรายจ่าย เป็นเหตุให้พระเจ้าเลนเต้ต้องขึ้นภาษีเอากับราษฎรบ่อยครั้ง จึงกล่าวได้ว่าราษฎรในยุคสมัยของพระเจ้าเลนเต้ถูกขูดรีดภาษีหนักที่สุด ด้านหนึ่งหนักเพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวงของเหล่าขันทีและขุนนางที่เป็นพวก ด้านหนึ่งหนักเพราะรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นเพื่อบำรุงบำเรอความสุข และเพื่อจัดส่วนแบ่งให้แก่ขันทีและขุนนาง
เจ้าเมืองคนใดยอมอยู่ในอำนาจ ขันทีก็จะจัดส่งคนไปเรียกเก็บส่วยทุกปี และจำนวนส่วยก็จะเพิ่มขึ้นทุกปีดุจกัน เจ้าเมืองบางคนในระยะแรกสามารถทนกับระบบส่วยได้ แต่นานไปทนแรงส่วยไม่ไหวก็ต้องลาออกเพราะขืนทนรับราชการต่อไปก็ต้องถูกปลด ถูกถอดหรือต้องโทษ
ค่าภาษีต่าง ๆ ที่หัวเมืองจัดเก็บส่งเข้าเมืองหลวงตามปกติก็ถูกขันทีชักส่วนแบ่งตั้งแต่ร้อยละ 10 หนักเข้าก็ชักส่วนแบ่งถึงร้อยละ 50 ทำให้รายได้ของแผ่นดินไม่พอเพียงกับรายจ่าย เป็นเหตุให้พระเจ้าเลนเต้ต้องขึ้นภาษีเอากับราษฎรบ่อยครั้ง จึงกล่าวได้ว่าราษฎรในยุคสมัยของพระเจ้าเลนเต้ถูกขูดรีดภาษีหนักที่สุด ด้านหนึ่งหนักเพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวงของเหล่าขันทีและขุนนางที่เป็นพวก ด้านหนึ่งหนักเพราะรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นเพื่อบำรุงบำเรอความสุข และเพื่อจัดส่วนแบ่งให้แก่ขันทีและขุนนาง
เมื่อขุนนางข้าราชการทั้งในเมืองหลวงและหัวเมืองต้องจ่ายเงินค่าส่วยสินบน
และมีความรั่วไหลเกิดขึ้นในงบประมาณแผ่นดินมากมายเช่นนี้
ราษฎรก็ถูกรีดนาทาเร้นหนักขึ้นทุกวัน ราษฎรกลายเป็นคนยากจนและยากไร้ ไม่มีที่ทำกิน
และไม่มีกิน จนต้องปล้นชิงวิ่งราวกันทั่วทั้งแผ่นดิน
หนักเข้าข้าราชการทั้งในเมืองหลวงและในหัวเมืองต่างประพฤติตนเป็นโจร
ปล้นชิงวิ่งราวเสียเองอย่างหนึ่ง เลี้ยงโจรให้ปล้นชิงวิ่งราวมาแบ่งกันอย่างหนึ่ง
ค้าของหนีภาษี ค้าของเถื่อนอย่างหนึ่ง และเอาที่หลวง
เอาประโยชน์ของหลวงไปทำมาหากิน ไปแสวงหาประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คดีความทั้งปวงก็ตัดสินไปตามน้ำหนักของเงินสินบน
ขาวถูกกลับเป็นดำ ดำถูกกลับเป็นขาว ความเดือดร้อนจลาจลจึงเกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน
โดยที่ไม่มีใครกล้าพูด กล้ากราบทูล
พระเจ้าเลนเต้เห็นหนังสือลับของยีหลงแล้ว
ก็ทอดพระทัย มิได้ตรัสประการใด แต่ขันทีทราบความเข้าก็ผูกอาฆาตยีหลง
เพราะเห็นว่าเป็นการกราบทูลที่จะทำให้พวกตนเสียหาย และแสร้งเพ็ดทูลเสียใหม่ว่าการทั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากฉลองพระองค์เก่า
เพราะทรงมานาน
ดังนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศและราษฎรจึงต้องเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่
พระเจ้าเลนเต้ก็กระทำตามคำแนะนำนั้น
หลังเหตุการณ์นี้แล้วสิบขันทีได้กราบทูลยุยงฮ่องเต้ให้ปลดยีหลงออกจากราชการไปทำไร่ไถนา ณ ภูมิลำเนาเดิม
สิบขันทียิ่งมีอำนาจวาสนามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น ในที่สุดได้กราบทูลให้พระเจ้าเลนเต้แต่งตั้งคณะสิบขันทีเป็น“เซียงสี” หรือเป็น “องคมนตรี” ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาราชการแผ่นดินหรือนัยหนึ่งก็คือ “คนใช้ฮ่องเต้” แต่บางแห่งแปลโดยความหมายว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
หลังเหตุการณ์นี้แล้วสิบขันทีได้กราบทูลยุยงฮ่องเต้ให้ปลดยีหลงออกจากราชการไปทำไร่ไถนา ณ ภูมิลำเนาเดิม
สิบขันทียิ่งมีอำนาจวาสนามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น ในที่สุดได้กราบทูลให้พระเจ้าเลนเต้แต่งตั้งคณะสิบขันทีเป็น“เซียงสี” หรือเป็น “องคมนตรี” ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาราชการแผ่นดินหรือนัยหนึ่งก็คือ “คนใช้ฮ่องเต้” แต่บางแห่งแปลโดยความหมายว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
เนื้อเรื่องบางส่วนจาก
สามก๊กฉบับคนขายชาติ